ยูเครน ระเบิดคลังแสงสำคัญของรัสเซียในแคว้นเคอร์ซอน
เมื่อคืนที่ผ่านมา (18 มิ.ย.) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ได้ออกมารายงานสถานการณ์ประจำวัน โดยระบุว่า ตอนนี้การสู้รบกับรัสเซียในพื้นที่ภาคใต้ยังเป็นไปอย่างดุเดือด ขณะที่ในภาคตะวันออก กองทัพยูเครนก็สามารถขับไล่ทหารรัสเซียออกไปได้เช่นเดียวกัน
สอดคล้องกับรายงานของสถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม (ISW) ที่รายงานการสู้รบของทั้งสองฝ่ายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
“ปูติน” ไม่พอใจข้อเสนอสันติภาพของแอฟริกา
รัสเซียเตือนตะวันตก ไม่ควรส่งเครื่องบิน F-16 ให้ยูเครน
จากแผนที่จะเห็นได้ว่ารัสเซียและยูเครนปะทะกันตลอดแนวของภูมิภาคดอนบาสตั้งแต่แคว้นลูฮันสก์เรื่อยลงมาจนถึงทางภาคตะวันออก โดยจุดที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกันหนักอยู่ที่เมืองอัฟดีฟกา เมืองมารินกา และเขตมาคาริฟกา
ส่วนสาเหตุที่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายไปอยู่ที่เมืองอัฟดีฟกา มารินกา และบางส่วนของแคว้นลูฮันสก์ ทางคณะเสนาธิการทหารยูเครนระบุว่าเป็นเพราะรัสเซียปรับแนวรบและโฟกัสการยึดพื้นที่เหล่านี้เป็นหลักคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ด้านพลโทอิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียรายงานว่าเมื่อวันเสาร์-วันอาทิตย์ที่ผ่านมา กองทัพยูเครนได้พยายามบุก 3 แนวรบในแคว้นซาโปริซเซีย แคว้นโดเนตสก์ทางตอนใต้ และแคว้นโดเนตสก์ทางตอนเหนือ แต่กองทัพรัสเซียสามารถขับไล่กองทหารของยูเครนทั้งหมดออกไปและรักษาพื้นที่แนวรบไว้ได้
นอกจากการสู้รบที่รบดุเดือดในแคว้นโดเนตสก์และแคว้นซาโปริซเซียแล้ว ล่าสุดมีสัญญาณออกมาว่ายูเครนอาจเปิดแนวรบในพื้นที่เคอร์ซอนตะวันออกเช่นกัน แม้ว่าพื้นที่บางส่วนในบริเวณนี้จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ยูรี อินัต โฆษกประจำกองทัพอากาศยูเครนรายงานว่าสามารถทำลายคลังแสงของรัสเซียที่หมู่บ้านรีโคเวียในแคว้นเคอร์ซอนได้สำเร็จ โดยผลจากการโจมตีทำให้กระสุนส่วนใหญ่เสียหาย ขณะเดียวกันฝ่ายบริหารของแคว้นเคอร์ซอนที่แต่งตั้งโดยรัสเซียออกมายืนยันเรื่องนี้แล้ว โดยระบุว่าฝ่ายยูเครนได้ยิงขีปนาวุธ 2 ลูกโจมตีแคว้นเคอร์ซอน แต่ระบบป้องกันภัยทางอากาศรัสเซียยิงสกัดได้ 1 ลูก ทำให้มีเพียง 1 ลูกที่สร้างความเสียหาย
ฝ่ายบริหารของแคว้นเคอร์ซอนคาดการณ์ว่า ขีปนาวุธทั้งสองลูกน่าจะเป็นสตอร์ม ชาโดว์ ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ยูเครนได้รับมอบมาจากสหราชอาณาจักร ด้านเซอร์ฮี บราตชุค โฆษกหน่วยงานทหารประจำแคว้นโอเดสซาระบุสั้นๆ ว่า คลังแสงที่เพิ่งจะถูกทำลายไปมีความสำคัญมากต่อกองทัพรัสเซีย โดยไม่ได้ระบุเหตุผลเพิ่มเติมว่าสำคัญอย่างไร
ถัดไปทางพื้นที่ตะวันออกของแคว้นเคอร์ซอน ตอนนี้สถานการณ์น้ำท่วมหลังเขื่อนโนวา คาโคฟกาแตกเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นและประชาชนอาจต้องเผชิญความเสี่ยงต่างๆ ที่จะตามมาจากน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
หลังจากผ่านมาเกือบ 2 สัปดาห์ ทางการยูเครนรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมไปแล้วอย่างน้อย 45 ราย และคาดว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนี้
ตอนนี้เจ้าหน้าที่ของรัสเซียได้ลงพื้นที่ไปสำรวจความเสียหายและเก็บกู้ร่างผู้ที่เสียชีวิตจากน้ำท่วมในเขตคอร์ซุนกา พื้นที่ใต้เขื่อนโนวา คาโคฟกาบริเวณที่ติดกับแม่น้ำดนีเปอร์ ที่ตอนนี้ระดับน้ำค่อยๆ ลดลง เจ้าหน้าที่พบร่างของประชาชนที่เสียชีวิตอยู่ตามบ้านเรือนหลายสิบร่าง ก่อนจะบรรจุร่างลงซองในพลาสติก และขนขึ้นรถบรรทุกเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
ด้านประชาชนที่รอดชีวิตในเขตโฮลา ปริสตัน ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำดนีเปอร์ ไม่ไกลจากเขตคอร์ชุนกา ได้บอกกับสื่อว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมแบบไร้ความหวังและต้องการให้ผู้ลงมือระเบิดเขื่อนได้รับโทษกับสิ่งที่ทำลงไป
นอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนในแคว้นเคอร์ซอนที่เป็นพื้นที่ติดกับแม่น้ำแล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้ผลกระทบจากน้ำท่วมจะลุกลามไปถึงพื้นที่ปลายน้ำอย่าง แคว้นมิโคลายิฟและแคว้นโอเดสซาทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูเครนด้วย
เมื่อวานนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคประจำแคว้นมิโคลายิฟได้ประกาศเตือนประชาชนไม่ให้ดื่มน้ำจากก๊อกน้ำ ว่ายน้ำ หรือตกปลา หลังจากพบสารก่อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ หน่วยงานควบคุมโรคของแคว้นมิโคลายิฟ ระบุเพิ่มเติมว่าตรวจพบเชื้อวิบริโอที่มีลักษณะคล้ายอหิวาตกโรคในน่านน้ำเปิดของแคว้น ซึ่งสามารถเป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อในลำไส้เฉียบพลันและท้องร่วงได้
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ทางการของแคว้นโอเดสซาที่อยู่ถัดออกมาไม่ไกลจากแคว้นมิโคลายิฟ ก็แจ้งเตือนประชาชนผ่าน
ช่องทางเทเลแกรมว่า น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติไม่สะอาด โดยผลการตรวจคุณภาพน้ำในห้องปฏิบัติการเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่ามีสารก่อโรคเจือปนอยู่เกินกว่าเกณฑ์ที่ปลอดภัย สารก่อโรคที่พบ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลล่า ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงไข่หนอน โดยเชื้อเหล่านี้ถูกพบในน้ำบริเวณโอเดสซาเรื่อยไปปลายแม่น้ำดานูบและทะเลดำ
จะเห็นได้ว่าผลกระทบที่เกิดจากเขื่อนแตกนั้นค่อนข้างหนักและส่งผลเป็นวงกว้าง ทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ตอนนี้ทั้งรัสเซียและยูเครนยังไม่มีใครยอมรับ รวมถึงโทษกันไปมาว่าเป็นผู้ทำลายเขื่อนโนวา คาโคฟกา
อย่างไรก็ดี ตอนนี้สำนักข่าวและนักวิชาการจากชาติตะวันตกระบุไปในทิศทางเดียวกันว่ารัสเซียอาจเป็นผู้ทำลายเขื่อนแห่งนี้
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์ได้เผยแพร่บทความที่มีชื่อว่า “Why the Evidence Suggests Russia Blew Up the Kakhovka Dam” หรือ ทำไมหลักฐานถึงบ่งชี้ว่ารัสเซียระเบิดเขื่อนคาโคฟกา
บทความดังกล่าวระบุว่าเขื่อนโนวา คาโคฟกาเป็นเขื่อนที่แม้จะดูแข็งแรงแต่ก็มีจุดอ่อน โดยจุดอ่อนดังกล่าวคือ ช่องทางเดินเล็กๆ บริเวณฐานเขื่อน ซึ่งสามารถเดินเข้าไปได้จากห้องควบคุมเขื่อน และผู้ที่รู้จุดอ่อนนี้ดีคือ รัสเซีย เนื่องจากผู้ที่สร้างและมีแปลนการก่อสร้างเขื่อนแห่งนี้คือ สหภาพโซเวียต บรรดาวิศวกรระบุว่ามีหลักฐานแสดงให้เห็นถึง
การจุดชนวนระเบิดและทำลายเขื่อนบริเวณทางเดินตรงฐานเขื่อนนี้ การระเบิดดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลที่ออกมาจากเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวในยูเครนและโรมาเนียที่ชี้ว่ามีการระเบิดขนาดใหญ่ในช่วงเวลา 02:35 น. และ 02:54 น. สอดคล้องกับคำให้การของพยานในพื้นที่ที่ได้ยินเสียงระเบิดใหญ่ในช่วงเวลาระหว่าง 02.15 น. ถึง 03.00 น.
หลังจากผ่านมาราวสองสัปดาห์จากวันที่เขื่อนแตก ระดับน้ำที่เคยท่วมลดต่ำกว่าฐานรากคอนกรีตเผยให้เห็นฐานเขื่อน ยกเว้นบริเวณที่เกิดการพังทลาย ที่ตอนนี้ไม่สามารถมองเห็นได้เหนือน้ำ เพราะคาดว่าถูกทำลายจากแรงระเบิด
เกรกอรี เบเชอร์ ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์กล่าวว่า นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่าฐานรากของเขื่อนได้รับความเสียหายเชิงโครงสร้าง โดยถ้าบรรจุระเบิดในฐานเขื่อนก็เพียงพอที่จะทำให้โครงสร้างของเขื่อนพังได้ทั้งหมด
สอดคล้องกับความเห็นจาก นิค กลูแมค ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมและผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์บานา-แชมเพน ที่ระบุว่าไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะสามารถทำลายเขื่อนแห่งนี้ได้ เว้นแต่จะเป็นการระเบิดจากภายในเขื่อนเท่านั้น และทางเข้าสู่พื้นที่ด้านในเขื่อนดังกล่าวอยู่ในห้องควบคุม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัสเซียครอบครองอยู่
บทความดังกล่าวของสำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์สอดคล้องกับผลสรุปการสืบสวนของผู้เชี่ยวชาญจาก Global Rights Compliance หน่วยงานด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ลงพื้นที่ไปยังแคว้นเคอร์ซอนร่วมกับอัยการสูงสุดของยูเครนและทีมงานจากศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เมื่อวันที่ 10-11 มิถุนายนที่ผ่านมา
รายงานสรุปเบื้องต้นของ Global Rights Compliance บ่งชี้ว่าจากหลักฐานทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์วัดแผ่นดินไหวและการหารือกับผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย มีความเป็นไปได้สูงที่เขื่อนอาจแตกเพราะการทำลายล้างที่เกิดจากวัตถุระเบิดที่ถูกนำไปติดตั้งไว้ในจุดอ่อนของเขื่อน เช่น ช่องทางเดินเล็กๆ บริเวณฐานเขื่อ ยูซุฟ ไซ ข่าน เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายอาวุโสของ Global Rights Compliance ที่ลงพื้นที่ไปสำรวจหลักฐานระบุว่ามีความเป็นไปได้ถึงร้อยละ 80 ที่เขื่อนจะถูกทำลายด้วยระเบิดที่กองทัพรัสเซียเป็นผู้ติดตั้งไว้
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ที่ลงไปสำรวจเขื่อนยังปฏิเสธทฤษฎีที่ว่า การที่เขื่อนแตกอย่างรุนแรงอาจเกิดจากการจัดการที่ผิดพลาดและระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นในวันก่อนที่เขื่อนจะแตก เนื่องจากเขื่อนมีกลไกการระบายน้ำที่ยังอยู่ในสภาพดี