KEX ไตรมาส 2 ขาดทุนเพิ่ม 1,047 ล้านบาท จัดส่งพัสดุลดลง ตั้งเป้าพลิกกำไรปี 67
บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX รายงานผลดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 66 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 1,047.7 ล้านบาท เป็นการขาดทุนเพิ่มขึ้น 43.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้2,923.3 ล้านบาท ลดลง 31.7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยในไตรมาส 2 ปี 66 มีปริมาณการจัดส่งพัสดุลดลงของผู้ใช้บริการประเภท B2B และ B2C เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น (Low season) และอุปสงค์ที่อ่อนตัว ซึ่งบริษัทคาดว่าในครึ่งหลังของปี 66 ปริมาณการจัดส่งพัสดุจะฟื้นฟูกลับมาจากการขยายตัวของการบริโภคเอกชน
ด้านต้นทุนขายและการให้บริการ เท่ากับ 3,814.8 ล้านบาท ลดลง 20.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทยังคงประสบความท้าทายจากค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างรถขนส่งภายนอก และค่าคอมมิชชันที่เพิ่มสูงขึ้น จากการขาดแคลนบุคลากร รวมถึงในไตรมาส 2/66 มีค่าใช้จ่ายจากการปิดสาขาที่ผลดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 66 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 8,964.7 ลดลง 25.9% จากสิ้นปีก่อน โดยมีเงินสดและเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่อง 692.2 ล้านบาท ลดลง 68% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่หนี้สินอยู่ที่ 8,964.7 ล้านบาท ลดลง 25.9 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อน
“เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” พลิกขาดทุน 2,829.8 ล้านบาท ต้นทุนพุ่ง-เดินหน้าลดพนักงาน
"เคอรี่ โลจิสติคส์" เผยธุรกิจขนส่งแข่งเดือด อ้าแขนรับพันธมิตรใหม่ ตั้งเป้าปีนี้ 66 รายได้โต 25%
KEX ระบุว่า บริษัทตั้งเป้าจะมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์การตลาดตามกลุ่มผู้ใช้บริการ หรือจัดกลุ่มผู้ใช้บริการเพื่อเสนอการบริการที่เหมาะสม โดยเน้นขยายตลาดระดับกลางถึงบน และจากการสนับสนุนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ S.F. Holding บริษัทจะปรับโครงสร้างเครือข่ายดำเนินงาน การลงทุนในเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติต่าง ๆ การพัฒนาดิจิทัล พัฒนาด้านแพลตฟอร์ม และเทคโนโลยี พร้อมตั้งเป้าหมายในการกลับมามีผลกำไรจากการดำเนินงานรายเดือนภายในปี 67
นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัท เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จํากัด ยังได้ให้การสนับสนุนทางการเงิน เพื่อใช้ลงทุนพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท คาดว่าจะเริ่มเบิกเงินกู้ได้ในไตรมาส 3 ปี 66 อย่างไรก็ตาม เคแอลเอ็น และSF Express ยังคงสนับสนุนบริษัทไปจนกว่าจะลดการขาดทุนได้ในปี 66 และกลับมามีกำไรปี 67คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ล่าสุดหุ้น KEX ก่อนเปิดตลาดเช้าวันที่ 9 ส.ค. 66 ราคาอยู่ที่ 8.6 บาทต่อหุ้น ปรับลดลง 31% จากเมื่อเดือน มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา และยังคงทำจุดต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี 63
อ่านรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่:คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2566